Go-ThRoUghT!

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หากผู้ใหญ่ใช้อารมณ์ต่อเด็ก แล้วเด็กทำคืนบ้าง เด็กจะต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอ !?

หากผู้ใหญ่ใช้อารมณ์ต่อเด็ก แล้วเด็กทำคืนบ้าง เด็กจะต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอ !?




เรื่องที่ผมกำลังจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริงกับสังคมของคนรุ่นเรา แต่ก็หาเหตุผลไม่ได้สักทีว่าทำไมจึงไม่มีการพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังในคนยุคนี้



วันนี้ ผมกับเพื่อนนั้นได้ลงไปเตะบอลที่สนามหน้าโรงเรียน (โรงเรียนผมนั้นเป็นตึกเพียงสองตึกสร้างตั้งฉากกัน โดยบริเวณหน้าตึกคือสนามฟุตบอลเล็กๆสำหรับนักเรียน)



เหตุการณ์มันก็เกิดจากตอนนั้นเป็นเวลาที่เด็กๆเรียนหนังสือกันอยู่ แต่พวกผมว่าง จึงได้ตัดสินใจลงไปเตะฟุตบอลด้วยกัน



ระหว่างที่เริ่มเล่นกันนั้น มีเจ้าหน้าที่ของห้องฝ่ายวิชาการซึ่งอายุประมาณ 45 เดินมาด้วยอารมณ์ที่ดูหงุดหงิดเล็กน้อยและห้ามไม่ให้พวกผมเตะบอล



เพื่อนผมคนหนึ่งจึงถามกลับไปว่าทำไมจึงเตะไม่ได้ เจ้าหน้าที่นั่นก็ตอบกลับมาว่า "คนอื่นเค้าเรียนอยู่" เพื่อนผมจึงถามกลับไปอีกว่า เค้าเรียนอยู่แล้วทำไมถึงเตะบอลไม่ได้ เท่านั้นแหละ เจ้าหน้าที่คนนั้นอารมณ์เสียมากๆ แล้วได้ตวาดใส่พวกผมและหาว่าพวกผมเถียงเค้า (ท้ายที่สุดผมก็ได้คำตอบแบบแถจนขาถลอกที่ว่า คนอื่นเรียนอยู่ เตะบอลจะส่งเสียงทำให้เค้าเรียนไม่ได้ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ผมเรียนที่นี่มาเกิน 3 ปีแล้วด้วยซ้ำ เวลาเด็กเล่นบอลกันหน้าตึก ยังไม่เคยได้ยินเสียงบอลมารบกวนการเรียนเลยซักแอะ)



จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่คนนั้นได้นำเรื่องไปบอกต่อกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และได้เรียกหัวหน้าห้องผมไปคุยด้วย โดยได้ใจความว่าจะให้พวกผมไปขอโทษที่แสดงกริยาไม่เหมาะสมต่อเค้า



และแน่นอนว่า ยิ่งเรื่องนี้แล้ว พวกผมไม่ได้ขอโทษเค้าหรอก ไม่ใช่เพราะถือทิตถิว่าตัวเองถูกเสมอ ไม่ใช่เพราะกลัวเสียหน้า กลัวเสียศักดิ์ศรีหรือการที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้ใดๆทั้งสิ้น



แต่เกิดจากคำถามเล็กๆในใจว่า ในเมื่อเราไม่ได้ทำความผิดแล้ว ทำไมเราจะต้องขอโทษ ?



เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ผมต้องกลับมาคิดว่า ทำไมประเทศนี้จึงมีค่านิยมผิดๆเช่นนี้ การที่คนอายุน้อยจะแสดงคำถามหรือเถียงผู้ที่อายุมากกว่านั้น เป็นสิ่งที่ผิดหรืออย่างไร ?



ในขณะที่คนในประเทศนี้เรียกร้องประชาธิปไตย สิทธิต่างๆ หรือแม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อยู่ทุกวัน

ทำไมจึงกลับมีการกระทำที่กลับกันยังคงเหลืออยู่ในสังคม โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างเยาวชนรุ่นต่อไปให้เป็นคนดี แต่กลับไม่ให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่อเด็กเท่ากับตนเอง



ก็เข้าใจอยู่ว่าบ้านเมืองนี้ มีการสั่งสอนตั้งแต่สมัยก่อนมาด้วยระบบที่ผู้ใหญ่ย่อมมีความคิดที่ดีกว่าเด็ก ผู้ใหญ่เป็นคนคิดและลิขิตชีวิตของเด็กว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ว่าผู้ใหญ่จะพูดอะไรเด็กห้ามถาม ด้วยเหตุผลว่า ผู้ใหญ่เค้าคิดดีแล้วจึงได้พูดหรือไม่ก็ผู้ใหญ่นั้นอาบน้ำร้อนมาก่อน เด็กมีหน้าที่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งไป จึงไม่แปลกเลยที่จะมีการสร้างค่านิยมผิดๆขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการที่ห้ามให้ผู้หญิงเดินกับผู้ชาย ให้ผู้ชายเป็นฝ่ายทำงานผู้หญิงต้องอยู่บ้าน การคลุมถุงชน การบังคับให้ลูกเรียนหรือทำงานตามที่พ่อแม่ต้องการ ฯลฯ แต่ค่านิยมเหล่านี้ก็ได้ถูกทำลายลงไปบ้างแล้วตามกาลเวลา เพียงแต่ค่านิยมนี้ซึ่งก็มีโทษไม่ได้น้อยไปกว่าที่กล่าวมาข้างต้นเลย ทำไมจึงยังมีผู้ใหญ่กว่าค่อนประเทศปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ลงในหัวเด็กอยู่



ในความคิดผมนั้น การที่ประเทศยังไม่สามารถพัฒนาได้ แน่นอนว่ามีผลมาจากการที่ยังไม่ลบภาพพวกนี้ออกจากสมองของผู้ใหญ่ มันน่าตลกไหม? ทำไมเวลาเราเถียงกับเพื่อนแล้วเริ่มเกิดการใช้อารมณ์หรือคำพูดที่ไม่ดีขึ้นมาแต่เป็นการเถียงกันด้วยเหตุผลนั้นดูเป็นเรื่องปกติ แต่พอกับคนที่อายุมากกว่าก็จะไม่สามารถเถียงกันด้วยเหตุผลได้ จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือคำว่าถูกต้องอยู่ในมือแล้วเสมอแม้ว่าเค้าจะเป็นฝ่ายที่ผิดก็ตาม ผู้ใหญ่จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า หากใช้อารมณ์กับเด็ก เด็กก็จะไม่สามารถใช้อารมณ์คืนได้ ต้องทนให้เค้าใช้อารมณ์อยู่ฝ่ายเดียว ผมคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องปกติหรือเรื่องธรรมดาที่เราจะยอมรับได้ไม่ใช่หรือ



สำหรับผมการที่ผู้ใหญ่คิดว่าตนนั้นจะต้องมีความคิดที่ดีกว่าเด็ก เด็กจะต้องไม่มีความคิดที่ดีกว่าผู้ใหญ่ได้ พูดสิ่งใดเด็กจะต้องเชื่อฟัง ห้ามเถียงทั้งนั้น เป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก



ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ ทุกๆอย่างขึ้นอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ทำให้ผมคิดว่าในยุคของเด็กรุ่นเรามันควรจะทำให้มันหมดไปได้แล้ว เพราะการกระทำเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ มีเพียงแต่โทษ ไม่ว่าจะก่อให้เกิดความแตกแยก การที่ทำให้เกิดคำถามค้างคาในใจกับเด็กที่ได้เจอกรณีเช่นนี้ว่า พวกเค้าผิดอะไรที่อยากจะเถียงในสิ่งที่ถูกต้อง หรือซักถามในสิ่งที่เค้าเห็นว่ามันไม่มีเหตุผล และสิ่งนี้เองที่ทำให้เด็กๆหลายคนไม่กล้าที่จะตั้งคำถามหรือโต้แย้งผู้ใหญ่ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังทำอยู่นั้นผิด แต่สิ่งที่น่าใจหายสำหรับผมก็คือมันจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเด็กบางคนที่ยังไม่มีความคิดวิเคราะห์ถูกผิด จดจำค่านิยมผิดๆเช่นนี้แล้วนำไปใช้ต่อกับรุ่นลูกรุ่นหลานของเค้า และก็ส่งต่อกันไปเรื่อยๆจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่สิ้นสุด



แม้ว่าในประเทศนี้จะมีผู้ใหญ่หลายคนที่ไม่ได้มีค่านิยมเช่นนี้แล้ว แต่ก็ยังคงเป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ผู้ใหญ่มักจะสอนเด็กๆว่าให้ใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ แต่เมื่อตนถูกเด็กย้อนกลับโดยตัวเองรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดแล้ว ก็มักจะหาข้ออ้างหรือหาเรื่องที่จะทำให้เด็กเป็นฝ่ายผิดให้ได้ ผมเองก็เข้าใจว่าทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้ตัวเองเสียผู้ใหญ่หรือแพ้เด็กหรืออย่างไร แต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กก็จะยิ่งรู้สึกต่อต้านและไม่ชอบเค้ามากขึ้น และแน่นอน ลับหลัง เด็กบางคนก็ตั้งด่าผู้ใหญ่เหล่านี้ในสถานะ facebook msn hi5 เต็มไปหมด บ้างก็นั่งจับกลุ่มนินทากัน



การที่ประกาศกันว่า "มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันแล้วในยุคนี้" ผมคิดว่าผู้ใหญ่ในประเทศควรจะต้องคิดได้แล้วว่าเมื่อตนเองใช้อารมณ์กับเด็กโดยที่ไม่มีเหตุผลที่ดีพอ แล้วเด็กใช้อารมณ์คืนบ้าง แล้วเด็กจะต้องเป็นฝ่ายผิด เพราะคำว่า "ไม่เหมาะสม","เป็นเด็กไม่ควรทำ" และต่อว่าเด็กว่าไม่มีมารยาท มันเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือยัง เพราะถ้าจะให้มีผู้ผิดหรือไม่มีมารยาทขาดการสั่งสอน ก็ไม่ควรจะเป็นเด็กฝ่ายเดียว ควรจะเป็นทั้งสองฝ่าย เนื่องจากผู้ใหญ่เองก็ใช้อารมณ์และหลายๆครั้งยังเป็นผู้ใหญ่ใช้อารมณ์ก่อน และถ้าหากผู้ใหญ่ได้รับการอบรมสั่งสอนหรือมีการศึกษาที่ดี ก็ควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการใช้อารมณ์ไม่ทำให้เด็กเคารพตนเองหรือยุติปัญหาอะไรได้ เพราะโดยปกติกับมนุษย์ ยิ่งมีการศึกษาที่ดีก็จะยิ่งใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ และนักจิตวิทยาเองก็ได้พิสูจน์มาแล้วว่า ไม่ควรสอนลูกหรือเด็กด้วยอารมณ์



หากยกกรณีตัวอย่างขึ้นมา ถ้าเกิดว่าผู้ใหญ่เหล่านั้นโดนคนที่มีอายุมากกว่ามาตวาดใส่ก่อนทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ผิด ผมเองก็อยากรู้จริงๆว่าพวกเค้าจะคิดอย่างไร จะตอบกลับไปอย่างไร ?



แท้จริงแล้ว พวกผู้ใหญ่เหล่านี้ ก็กลืนน้ำลายตัวเองเช่นกัน เวลาตัวเองดูทีวีแล้วเจออาชญากรชั่วๆที่อายุมากกว่าตัวเอง ก็เผลอหลุดปากหรือคิดด่าและเอาไปประจานให้เพื่อนร่วมงานฟังทุกที หรือไม่เวลาเจอผู้บริหารของตนข่ม กลั่นแกล้ง พยายามบีบออก ก็โมโหและแอบด่า นินทาให้คนอื่นฟังตลอด เช่นนี้แล้วมันจะต่างกรณีกันอย่างไร



อยากจะฝากให้ใครหลายๆคนหรือพวกผู้ใหญ่ในประเทศนี้ได้ลองมองกันว่า



สำหรับการที่เราจะพัฒนาประเทศ ตรรกะผิดๆที่ว่า "เด็กห้ามเถียงผู้ใหญ่ ห้ามใช้อารมณ์ใส่ผู้ใหญ่แม้ว่าผู้ใหญ่จะเป็นเริ่มก่อน ผู้ใหญ่สามารถใช้อารมณ์กับเด็กได้ฝ่ายเดียวเท่านั้น" นี้ควรจะถูกลบไปได้หรือยัง



หากคุยกันด้วยเหตุผลแล้ว ก็คงจะไม่มีการอ้างที่ว่า หากเด็กเถียงผู้ใหญ่ได้ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร บ้านเมืองจะแย่ จะขาดการควบคุม เนื่องจากใช้เหตุผลเหนืออารมณ์แล้ว ย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่ดีอยู่แล้ว



และถามว่ามีใครบ้างที่มีคนมาพูดด้วยดีดีแล้วจะไปใส่อารมณ์ใส่เค้า หากพูดดีดี มีเหตุผลที่ดีพอ มันก็น่าฟัง เด็กก็คงไม่มีอาการก้าวร้าวหรอก ที่เด็กมีการใช้อารมณ์ก็เนื่องจากผู้ใหญ่ไม่มีเหตุผลหรือใช้อารมณ์กับเค้าก่อนไม่ใช่หรือ ?







สุดท้ายนี้ ผมก็ยังรู้สึกดีใจอยู่บ้างที่ในโลกปัจจุบัน การคงอยู่ของค่านิยมหรือความคิดนี้ก็เริ่มจะลดลงไปอย่างมากแล้วสำหรับเหล่าคนรุ่นใหม่ และผมไม่ได้สนับสนุนให้ใช้อารมณ์คืนเวลาผู้ใหญ่ใช้อารมณ์มา เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า ถ้าเมื่อใดใช้อารมณ์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว จะพูดไม่ได้ว่าเด็กเป็นฝ่ายผิดเพียงฝ่ายเดียว แล้วหากจะเกิดการขอโทษหรือเอาความ ก็ต้องกระทำทั้งสองฝ่าย